top of page
Writer's pictureregagar

มือเท้าปาก โรคฮิตหน้าฝน ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง

มือเท้าปาก โรคฮิตหน้าฝนในเด็กเล็ก ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะสามารถแพร่กระจายเชื้อต่อกันได้รวดเร็วมาก เนื่องจากเด็กเล็กยังไม่รู้จักวิธีดูแลป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ มากนัก ดังนั้นผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ เองจึงต้องคอยสังเกต และระมัดระวังให้ดีนั่นเอง

มือเท้าปาก

โรคมือเท้าปากนี้ เป็นโรคที่มักจะแพร่กระจายในช่วงหน้าฝน ซึ่งผู้ใหญ่ก็สามารถเป็นมือเท้าปากได้เช่นกัน เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีอาการที่รุนแรง หรือน่าเป็นกังวลเท่ากับเด็กเล็ก และไม่ได้พบมากเท่ากับเด็กเล็ก ดังนั้นวันนี้เรามาเรียนรู้ ทำความรู้จักกับโรคนี้ แล้วคอยระวังไม่ให้บุตรหลานติดเชื้อมือเท้าปากนี้กันค่ะ


มือเท้าปาก โรคฮิตหน้าฝน สาเหตุมาจาก


มือ เท้า ปาก เป็นโรคที่ติดเชื้อไวรัสในกลุ่มของเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่ที่พบได้บ่อยก็อย่างเช่น คอกซากีไวรัส เอ16 (Coxsackievirus A16) พบมากในกลุ่มเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และอีกชนิดที่ต้องระวังก็คือ เอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71หรือ EV71) สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ชนิดรุนแรง เพราะเสี่ยงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และอาจจะเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทั้ง 2 สายพันธุ์ที่ยกตัวอย่างมานี้ ในกลุ่มของเด็กเล็ก มักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็กโตนั่นเอง และผู้ใหญ่เองก็สามารถพบได้ในบางรายเช่นกัน


มือเท้าปาก

โรคนี้สามารถแพร่กระจายได้ผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย หรือการไอ จามใส่กัน รวมไปถึงการใช้สิ่งของร่วมกันก็สามารถแพร่กระจายเชื้อได้เช่นกัน สามารถแพร่เชื้อได้ทันทีที่เริ่มมีอาการ และระยะเวลาการแพร่เชื้อที่มากที่สุดคือ ช่วง 7 วันแรกที่มีอาการมือเท้าปาก รวมถึงในเด็กบางรายมีการตรวจพบว่าอุจจาระก็สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ และยังพบอีกว่า แม้เด็กที่เป็นโรคนี้จะหายมาแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ยังพบเชื้อในอุจจาระของเด็กอยู่ด้วย


อาการของโรคมือ เท้า ปาก

คุณพ่อคุณแม่ต้องมั่นสังเกตอาการของลูกน้อยให้ดี หลังจากที่ได้รับเชื้อมาได้ 3-6 วัน เด็กจะเริ่มแสดงอาการให้เห็นชัดขึ้นดังนี้

  • 2-3 วันแรกหลังติดเชื้อ ลูกน้อยเริ่มมีไข้อ่อน ๆ รวมถึงมีอาการอ่อนเพลีย

  • 1-2 วันต่อมา ลูกน้อยจะเริ่มเจ็บปาก มีตุ่มแผลในปาก ที่เพดาน ลิ้น กระพุ้งแก้ม และอาจลามออกมาบริเวณริมฝีปากด้วย เด็กๆ จะเริ่มไม่อยากรับประทานอาหารเนื่องจากการเจ็บแผลในปากนั่นเอง

  • ต่อมาจะเริ่มมีตุ่มแดง ตุ่มน้ำใส ตามบริเวณ ก้น นิ้วมือ นิ้วเท้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมไปถึงตามง่ามนิ้วมือและเท้าทั้ง 2 ข้างอีกด้วย

มือเท้าปาก อาการ

ทั้งนี้ในเด็กบางรายที่ติดเชื้อมือเท้าปากชนิดรุนแรง อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ไปจนถึงขั้นร้ายแรงที่สุด คือ เสียชีวิตได้ ถึงแม้ว่าแผลตุ่มแดงต่าง ๆ จะหายไปแล้ว แต่คุณพ่อคุณแม่เองยังคงต้อง เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ซึ่งสัญญาณบ่งชี้ว่าลูกน้อยมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที มีดังต่อไปนี้

  • ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส และเป็นนานมากกว่า 48 ชั่วโมง

  • อาเจียนบ่อยครั้ง ไม่รับประทานอาหาร น้ำ หรือนม หรือรับประทานได้น้อยลง

  • มีอาการทางระบบประสาท เช่น ซึม กล้ามเนื้อกระตุก ชักเกร็ง ปวดศีรษะรุนแรง แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ขาสั่น

  • มีอาการหอบเหนื่อย รวมถึงตัวซีด ตัวลายจนผิดปกติ

  • มีอาการเพ้อ พูดจาไม่รู้เรื่อง สื่อสารไม่ได้

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตความผิดปกติของลูกน้อยตามอาการข้างบนนี้ แนะนำให้รีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์โดยด่วนที่สุด เพื่อให้รักษาได้ทันการ


วิธีรักษาโรคมือ เท้า ปาก

โรคมือเท้าปากนี้ ในทางการแพทย์ยังไม่ได้มียารักษาที่ตรงกับการเชื้อ และยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรคนี้เช่นกัน ดังนั้นการรักษาโดยส่วนใหญ่จึงดูแลรักษาไปตามอาการที่พบ เช่น

  • เจ็บปาก เจ็บคอมาก จนรับประทานอาหารไม่ได้ ให้คุณพ่อคุณแม่พยายามป้อนน้ำ นม หรืออาหารอ่อน ๆ เพื่อไม่ให้ลูกน้อยเกิดภาวะขาดน้ำ ขาดอาหาร แนะนำให้ลูกน้อยทานของเย็น เช่น น้ำแข็ง ไอศกรีม เป็นต้น ของเย็นนี้จะช่วยลดอาการเจ็บแผลในปากได้

  • หากลูกน้อยมีไข้อ่อน ๆ สามารถให้ทานยาลดไข้ แก้ปวดได้ และให้คุณพ่อคุณแม่หมั่นคอยเช็ดตัวดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิด

ในเด็กบางรายที่ค่อนข้างจะอ่อนเพลียมาก คุณหมออาจจะแนะนำให้นอนโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการว่าจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงหรือไม่ และอาจจะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดด้วยนั่นเอง

มือเท้าปาก วิธีป้องกัน

การป้องกันการติดเชื้อมือเท้าปาก

อย่างที่ทราบว่าโรคนี้มักติดกันผ่านทางน้ำมูกน้ำลาย จากการไอจาม สิ่งที่เราป้องกันได้ก็คือ แยกเด็กที่มีอาการมือเท้าปากออกจากเด็กคนอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปเป็นวงกว้าง และสิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยฝึกฝนให้ลูกน้อยทำเป็นประจำ คือ การรักษาความสะอาดนั่นเอง

  • ฝึกให้เด็ก ๆ ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ ไม่ว่าจะเข้าห้องน้ำ หรือหยิบจับสิ่งใดก่อนที่จะมาสัมผัสหน้า หรือสัมผัสผิวของตัวเองต้องล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง หากฝึกการล้างมือที่ถูกต้อง 7 ขั้นตอนได้จะดีมาก

  • ควรทำความสะอาดของเล่นอยู่เสมอ ทั้งที่บ้าน รวมถึงที่โรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ คุณครูที่ดูแลจะต้องหมั่นคอยทำความสะอาดของเล่นด้วย เนื่องจากอาจจะมีเชื้อไวรัสติดอยู่ตามของเล่นต่าง ๆ ได้เช่นกัน

  • ไม่ใช้ของร่วมกันกับเด็กหรือคนอื่นๆ เช่น กระติกน้ำ ช้อน ส้อม อื่นๆ คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมให้ลูกน้อยใช้เป็นของส่วนตัว เพื่อลดการติดเชื้อไวรัสมือ เท้า ปาก และไวรัสอื่น ๆ ที่ทำให้เจ็บป่วย

  • ควรให้ลูกน้อยสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องไปในสถานที่แออัด หรือมีผู้คนพลุกพล่าน

  • ฉีดวัคซีนป้องกัน EV71 ปัจจุบันนี้มีวัคซีนป้องกันโรคมือเท้าปาก จากไวรัส EV71 ซึ่งเป็นเชื้อที่รุนแรงมาก ถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการฉีดวัคซีนป้องกันมือถือปากจากไวรัส EV71 แล้ว ก็ยังสามารถติดเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ ได้ แต่จะไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แนะนำให้คุณแม่พาลูกน้อยไปฉีดวัคซีนชนิดนี้ป้องกันไว้ดีที่สุด สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี โดยจะต้องฉีดด้วยกัน 2 โดส โดยต้องมีระยะเวลาการฉีดห่างกัน 1 เดือน


คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวล โรคมือเท้าปากนี้หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงก็สามารถหายได้เองใน 1 สัปดาห์ แต่ก็มีโอกาสที่จะสามารถกลับเป็นซ้ำได้ด้วย ในระหว่างที่ทำการดูแลรักษาอยู่นั้น แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลความสะอาดผิวของลูกน้อยด้วย โฟมอาบสระ ที่มีส่วนช่วยในการลดแบคทีเรีย ลดการติดเชื้อซ้ำซ้อน พร้อมบำรุงผิวให้แข็งแรงขึ้น มี pH5.5 ที่ใกล้เคียงผิวลูกน้อย อ่อนโยนสูงสุด ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคือง บรรเทาอาการคัน ลดอาการอักเสบของผิวได้ดี

มือเท้าปาก

หลังจากมือเท้าปากหายแล้ว ก็อาจจะทิ้งรอยดำ รอยแดงของผื่นไว้บนผิวลูกน้อยได้ แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่เลือกบำรุงดูแลผิวลูกน้อยด้วย โลชั่นลดรอยดำ คิดค้นสูตรโดยคุณหมอ โดยเลือกเป็นสูตรที่มี Anti - inflammation , Anti - irritation เพราะจะช่วยลดการอักเสบ ลดรอยดำ ทำให้รอยจากผื่นหรือแผลของมือเท้าปากหายเร็วขึ้น และเลือกโลชั่นที่เสริม OMEGA3,6,9 เซรามายด์และกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อผิวลูกน้อยด้วย เพื่อเสริมชั้นผิวให้แข็งแรง ไม่ระคายเคืองง่าย หากเลือกเป็นสูตรที่มีวิตามิน B รวม และวิตามิน E ด้วยจะดีมาก เพราะจะบำรุงผิวของลูกน้อยให้กลับมาเนียนสวยเหมือนเดิมได้นั่นเอง แนะนำให้ทาทุกครั้งหลังทำความสะอาดผิว และทาซ้ำบริเวณที่มีรอยดำ รอยแดงด้วย เพื่อให้โลชั่นเข้าไปฟื้นฟูผิวลูกน้อยให้กลับมาเนียน สีผิวสม่ำเสมอ ผิวแข็งแรงได้ดียิ่งขึ้น





ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ , โรงพยาบาลศิครินทร์

Comments


bottom of page